วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

ครั้งแรก ความรู้สึกแรก ที่มาวัดพระธรรมกาย ตอนที่ 2

ความเดิมตอนที่แล้วววววววววว.........


ขณะที่กำลังจะลุกจากโต๊ะเรียนจะออกจากห้อง ก็มีกลุ่มผู้ชายตัวเล็กๆเดินเข้ามาแล้วพูดว่า...

   "พี่ขอเวลาน้องๆไม่นานครับ อย่าเพิ่งออกจากห้องนะครับ"

 โหย..สมัยนี้ยังมีผู้ชายพูด "ครับ" อยู่อีกหรอเนี่ยะ พูดเพราะจัง

ทำให้เราและสมาชิกที่เรียนในห้องเดียวกันนั่งฟังพี่เขาต่อ
***************************************************************************
ก่อนอื่น...ต้องขอเท้าความก่อนสักเล็กน้อย จำได้ไหมคะว่า ในตอนที่แล้วได้เล่าให้ฟังว่า ช่วงนั้นมีปัญหาชีวิตแต่ก็ไม่อยากอยู่กับความฟุ้งซ่านแบบนั้นนานๆ เลยพยายามหาทางออกด้วยการมองหากิจกรรมทำ ซึ่งต้องเป็นกิจกรรมที่ "ทำเพื่อคนอื่น" ด้วยนะ ถามว่า...ทำไมต้องตั้งเงื่อนไขกับตัวเองขนาดนั้น ก็เพราะว่าปัญหาชีวิตที่ประสบในตอนนั้น เป็นปัญหาที่ใหญ่และหนักมากๆสำหรับวัยรุ่น ที่เป็นวัยสดใส ไร้เดียงสาอย่างเราๆ (แต่เมื่อเราโตขึ้นก็จะพบว่าแท้จริงแล้วมันเล็กแค่นิดเดียวเอง) ปัญหาที่ว่านั้นก็คือ "ความรัก"

ใช่แล้ว...ตอนนั้นมีแฟนค่ะ คบกันตั้งแต่มัธยม รักกันมาก วางแผนอนาคตไว้ร่วมกันหลังเรียนจบ ทุกอย่างถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ เพื่อนก็ยินดีปรีดา เป็นที่อิจฉาแก่ผู้พบเห็น 555+ ว่าไปนั่น... แต่แล้ว...ชีวิตมนุษย์ อะไรก็ไม่แน่นอนค่ะ เวลาที่ผ่านไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นสองปี สามปี เราก็พบว่า "มันไม่ใช่" อย่างที่เคยคิดไว้ตอนแรก แล้วยังไงต่อดี สับสนเลยสิทีนี้ "จะเดินด้วยกันต่อไปก็ไม่ใช่...แต่จะแยกทางกันเดินมันก็ยังทำใจไม่ได้" นี่แหละที่เขาเรียกว่า "ความผูกพัน" คือทั้งผูก ทั้งพัน จนใจยุ่งเหยิง ไม่มีอิสระ สุดท้ายเลยตกลงกันว่า "ลองห่างกันสักพักเพื่อทบทวนตัวเองแล้วค่อยว่ากันใหม่" อ้ะ! ก็ตกลงกันตามนี้...แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น...เพราะกิเลส...มันลึกลับซับซ้อนยากจะเดาทางออก 

แทนที่จะเป็นเรื่องดี ที่ได้กลับมาอยู่กับตัวเอง มีอิสระ ไปไหนก็ได้คนเดียว ไม่ต้องรายงานใคร ไม่ต้องมีใครมาคอยถามว่าอยู่ไหน   แต่กลายเป็นว่า ชีวิตช่างเศร้ามาก 555 ใครเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ น่าจะพอเข้าใจ แต่พอเราผ่านมันมาได้ก็จะรู้เลยว่า "ไม่มีสาระประโยชน์อันใดต่อชีวิตของเราเลย" 555+

แต่ตอนนั้น...มันยาก กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวัน เลยอยากออกจากภาวะความรู้สึกแบบนั้น จึงต้องหากิจกรรมที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้ ซึ่งมันต้องทำเพื่อคนอื่น เท่านั้น!!! จะได้โฟกัสที่คนอื่น

จะได้ไม่ต้องมามีโมเม้นดราม่า ประมาณว่า เดินไปทางไหนก็เห็นแต่หน้าเธอ ตรงนั้นก็เคยมีเรา อาหารร้านนี้ก็ใช่ บลาๆๆๆๆ

เพราะฉะนั้นเราต้องชนะ! 

ต้องผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้ ! 

เราจะไม่ยอมตกเป็นทาสของความรู้สึกแย่ๆนานๆเด็ดขาด !!!!

วัยรุ่นยุคใหม่ที่เจอสภาวะแบบนี้ สามารถเอาไปใช้ได้นะ "หากิจกรรมที่ทำเพื่อคนอื่น" มาทำ จะได้ผ่านเหตุการณ์แย่ๆได้เร็วๆ และเมื่อเราผ่านมันมาได้ เราก็จะค้นพบวันใหม่ที่สดใสกว่าเดิม เข้มแข็ง และโตขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญ เมื่อเราหันกลับไปมอง ก็จะได้เรียนรู้ว่า "ปัญหาที่ว่าหนัก จริงๆแล้ว มันเล็กนิดเดียวเอง แล้วเดี๋ยวเราก็ผ่านมันไปได้ เหมือนทุกทีที่เราก็ผ่านมา"


"ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเรา เขาคืออาจารย์" 


ที่จะสอนเราว่า บทเรียนนี้ สอนอะไรแก่ชีวิตเรา
และบทฝึกนี้ เราจะใช้วิธีใด จึงจะสอบผ่านไปได้ เพื่ออัพเลเวล ไปเจออีกขั้นต่อไป...

อ้าว... เลยมาซะไกลเลย 55+ 

ต่อกันเลยนะคะ...

หลังจากที่กลุ่มรุ่นพี่ผู้ชายตัวเล็กๆ พูดจาไพเราะ เดินเข้ามาในห้องเรียน แล้วก็บอกให้ทุกคนอย่าเพิ่งออกจากห้อง ก็ปรากฎว่าพี่เขาเปิด Video ให้ทุกคนในห้องดู 1 ตัว แค่ซาวน์ดนตรีขึ้นมาก็ตื่นเต้นแล้ว....

เฮ้ยยยยยย!!!!!!!! งานอะไรอ่ะ ทำไมเด็กเยอะจัง!!!!!!!! (ณ ตอนนั้น อึ้งทึ่งมากจริงๆนะ)

หลังจากดู Video จนจบ รู้สึก "ตื่นเต้นมาก ขนลุก บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าอยากไปงานนี้จังเลย"

พี่ๆเขาก็เฉลยว่านี่คืองาน

"รวมพลังเด็กดี V-Star" จัดขึ้นที่วัดพระธรรมกาย

เอ๊ะ!!!! ธรรมกาย คุ้นๆนะ เคยได้ยินที่ไหนน้าาา...

...อ๋อ... ตอนประถมที่บ้านเคยเล่าให้ฟังว่าวัดนี้ลงข่าวหน้าหนึ่งทุกวันเลย...

เอาเหอะ !!!! ธรรมกาย ก็ ธรรมกาย งานใหญ่ๆ แบบนี้จะต้องไปให้ได้
จะได้รู้ว่าเด็กๆเขามาทำอะไรกันเยอะแยะขนาดนี้ 
แล้วงานใหญๆ ดูแกรนด์ๆ แบบนี้ มีจริงๆหรอในประเทศไทย ไม่เคยเห็นลงข่าวเลย

อย่างงี้ต้องพิสูจน์ !!!!!!

โดยมีเงื่อนไขจากพี่ๆกลุ่มผู้ชายตัวเล็กๆ พูดเพราะๆ กลุ่มนั้นว่า...

"ถ้าน้องคนไหนสนใจอยากจะเป็นบุคคลประวัติศาสตร์ ที่ร่วมกันสร้างเยาวชนคนดีให้แก่ประเทศชาติ 
แบบในวีดีโอที่เปิดให้ดูไปแล้ว น้องๆจะต้องลงชื่อเป็นอาสาสมัครผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลก หรือ...วีเชียร์ ครับ"

พอได้ใบสมัครปุ๊บ ข้าพเจ้ากรอกข้อมูลทันทีเลยจ้า 555+ คืออยากไปมากแบบออกอาการสุดๆ อิอิ


เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ ชื่อโครงการนี้มัน....

"V-Cheer"

อ้าว...นี่มันที่เราเห็นตรงป้ายตะลัยนี่นา 
โหยยยยย....พระมาโปรดลูกแล้ว อะไรมันจะลงล็อกเป๊ะๆขนาดนั้น ฮิ้วๆๆๆ 555+

จากนั้นก็มีอีกหลายๆคนในห้องลงชื่อสมัครเหมือนๆกันกับเรา แล้วพี่เขาก็จากไป โดยทิ้งท้ายก่อนจากไว้ว่า

"น้องที่จะเป็น V-Cheer ได้ ต้องไปเจอกันที่ชมรมนะครับ โดยจะต้องไปฝึกซ้อมทุกวัน จนกว่าจะถึง
วันที่ 11 ธันวาคม วันนั้นเราจะเดินทางไปพักค้างกัน เพื่อทำกิจกรรมในวันรุ่งขี้น คือวันงาน 12 ธันวาคม ครับ"

โห...นึกถึงบรรยากาศตอนเป็นเชียร์ลีดเดอร์สมัยมัธยมเลย ต้องฝึกซ้อมทุกวันแบบนี้แหละ ดึกๆดื่นๆ

แล้วตกลงกิจกรรมนี้เอาเราไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ใช่ป่ะ หรือว่าอะไร?
อยากรู้...โปรดติดตามตอนต่อไป...




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น