วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

ครั้งแรก ความรู้สึกแรก ที่มาวัดพระธรรมกาย ตอนจบ

และแล้วก็ถึงวันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2552

วันรวมพลังเด็กดี V-Star ครั้งที่ 4

น้องๆมาเยอะแยะมาก มีทุกระดับชั้น ตั้งแต่ประถม ถึงมัธยมเลย

ประทับใจเด็กๆที่มางานนี้มากๆ สมกับชื่อภาษาไทยของโครงการเลย ที่ว่า...

"ผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลก"

ชุดนี้คงเป็นชุดที่ฝึกฝนตัวเองด้านคุณธรรมมาอย่างดี และถูกคัดเลือกมาแล้วด้วย

เด็กนักเรียนข้างนอกที่พบ ส่วนใหญ่ไม่มีสัมมาคารวะเลย ก้าวร้าว ไม่เกรงใจใคร พูดจาก็ไม่เพราะ หยาบคาย
แต่น้องๆที่มางานนี้ตรงกันข้ามนะ มีสัมมาคารวะ เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว เดินผ่านผู้ใหญ่ก็ค้อมหลัง มีความสุภาพนุ่มนวล ดูแล้วน่าเอ็นดูมากๆ เป็นอย่างนี้ทุกทิศทางที่เดินไปเลย (วีเชียร์ทีมเราจะไม่ได้อยู่บูธนำทำกิจกรรม แต่เป็นชุดแสดงเชียร์ หน้าเวทีกลาง เลยสามารถเดินดูงานได้เป็นช่วงๆ)

ตลอดงาน ตั้งแต่เช้าจนดึกดื่น ทั้งผู้ร่วมงาน อาสาสมัคร และผู้จัดงาน ไม่ได้หยุดเลยนะ ดูๆแล้วเหนื่อยมากๆทุกคนเลย

ตอนที่ประทับใจสุดๆ คือตอนส่งกลับประทับใจ ประมาณค่ำๆยันเที่ยงคืน ตอนนั้นทั้งอาสาสมัคร และน้องๆวีสตาร์ แม้จะเหนื่อยกันมากนะ แต่กลับมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะให้กันตลอดเส้นทางและมีความรู้สึกนึงที่คงไม่ต่างกัน

"ไม่อยากกลับเลย อยากอยู่ต่อ" 

เพราะน้องๆที่มาน่ารักมากๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และมิตรภาพดีๆให้แก่กันตลอดทาง เหมือนโลกในอุดมคติเลยนะ แต่ก็คือความจริง ที่ได้มาสัมผัสแล้วว่า มันสามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ

โลกแห่งสันติภาพ ที่จะนำมาซึ่ง สันติสุข

 ถ้าเราออกไปจากวัดนี้ เราก็ต้องไปเจอโลกใบเดิมๆ เจอเด็กๆที่ในไม่ได้น่ารักแบบนี้ มันตรงข้าม เห็นแล้ว นอกจากไม่น่าเอ็นดู ยังไม่น่ายุ่งด้วยเลย ไม่น่าให้ความช่วยเหลือเลย แต่น้องๆวีสตาร์ที่มางานนี้ แม้เค้าจะไม่ได้ขอความช่วยเหลือ แต่เรากลับรู้สึกอยากยื่นมือเข้าไปช่วย และช่วยให้ดีที่สุด ทั้งๆที่นิสัยส่วนตัวไม่ได้รักเด็กเลยนะ คือหน้าตาอาจจะดูเป็นนางสาวไทยได้ แต่ที่ไม่ประกวดก็เพราะไม่ได้รักเด็กนี่แหละ 5555+ ว่าไปนั่น อิอิ

งานนี้...แม้เราจะกลับถึงที่พักที่มหา'ลัย เกือบตีสองครึ่ง และกว่าจะอาบน้ำนอนก็ตีสามกว่าๆ เหมือนไม่ได้นอนเลยนะวันนั้น เพราะตื่นตั้งแต่ตีสี่นิดๆ อ่ะ (ตื่นเอง เพราะตื่นเต้น 555)

แต่ก็ได้เข้าใจคำว่า "ปลื้ม" 
ที่พี่ชมรมพูดให้ฟังตลอดตอนไปฝึกซ้อม

"ปลื้ม" คำสั้นๆ ที่มีความหมายมากมายอยู่ในนั้น
"ปลื้ม" คำสั้นๆ แต่มีความรู้สึกหลากหลายรวมอยู่ในคำนี้
"ปลื้ม" คำๆคำเดียว แต่ความทรงจำที่มีมันฝังอยู่ในใจมาตลอด
แม้เวลาจะผ่านมา 2552-2559 แต่ความ "ปลื้ม" ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่ได้มาเป็นอาสามัครช่วยงาน V-Cheer ที่วัดพระธรร กาย ก็ยังมีอยู่เต็มหัวใจ ไม่เคยจางหาย 

แม้งานวันนั้นจะผ่านมาแล้ว เด็กๆที่เราได้ดูแลในวันนั้นอาจจะแยกย้ายกันไปคนละทาง แต่ภาพความทรงจำยังชัดเจนเหมือนวันวาน และความรู้สึกดีๆที่เกิดในวันนั้นก็ยังมีอยู่ ไม่เคยจางหาย นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ ด้วยซ้ำ

ส่วนความรู้สึกที่เพิ่มเติมหลังจากนั้นหรอ.....

การปลูกฝังศีลธรรม คือ สิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่สุด
แต่คนที่ทำงานด้านนี้ ที่อุทิศตนจริงๆ มีน้อยมาก
ดังนั้น 
ขอให้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนงานด้านนี้

และต้องเป็นที่นี่ องค์กรนี้ เท่านั้น!!!!

...วัดพระธรรมกาย...

มันเรียกว่าอะไรหรอ... เป้าหมายอุดมการณ์... ใช่หรือเปล่า?

ไม่ว่ามันจะเรียกว่าอะไร แต่นี่คือสิ่งแรก ความรู้สึกแรก
ในครั้งแรกที่ได้มาวัดพระธรรมกาย

และยังคงเหมือนเดิม 2552-2559 ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...........


วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

ครั้งแรก ความรู้สึกแรก ที่มาวัดพระธรรมกาย ตอนที่ 3

ความเดิมตอนที่แล้ว~

จากนั้นก็มีอีกหลายๆคนในห้องลงชื่อสมัครเหมือนๆกันกับเรา แล้วพี่เขาก็จากไป โดยทิ้งท้ายก่อนจากไว้ว่า

"น้องที่จะเป็น V-Cheer ได้ ต้องไปเจอกันที่ชมรมนะครับ โดยจะต้องไปฝึกซ้อมทุกวัน จนกว่าจะถึง
วันที่ 11 ธันวาคม วันนั้นเราจะเดินทางไปพักค้างกัน เพื่อทำกิจกรรมในวันรุ่งขี้น คือวันงาน 12 ธันวาคม ครับ"

******************************

หลังจากวันนั้น... เราก็ไปฝึกซ้อมการทำหน้าที่ที่ชมรมอย่างต่อเนื่อง พี่ๆที่ชมรมนี้แปล๊กแปลก... ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ตลอดเวลา ยิ้มเก่งยิ่งกว่านางสาวไทยอีกนะ แถมยกมือไหว้น้องๆก่อนทุกครั้ง เราพยายามจะยกมือไหว้พี่ๆเขาก่อน แต่ไม่เคยทันเลย อ้อ...ลืมบอกไปว่า...มหา'ลัยนี้ ระบบ SOTUS แรงมากนะ ต้องให้ความเคารพรุ่นพี่ มิเช่นนั้นจะถูกว้ากกกกน้ำตาไหลพรากได้ น่ากลัวมาก 555+ พอมาเจอพี่ชมรมนี้ มันก็เลยรู้สึกแปลกๆ 555 แต่ก็เป็นความแปลกที่ทำให้รู้สึกดีจนลืมความรู้สึกแย่ๆ ไปเลย ส่วนดีๆของพี่ๆเขามีเยอะนะ แต่ไว้เล่าในโอกาสถัดไปดีกว่า เดี๋ยวจะยาวเกินไป
.
.
.

ในที่สุด ก็ถึงวันที่ 11 ธันวาคม ที่จะต้องเดินทางไปพักค้างที่วัดพระธรรมกาย บอกตามตรงว่ามีความกังวลนะ เพราะฝังใจกับการไปพักค้างวัดตอนเข้าค่ายปฏิบัติธรรมสมัยมัธยมอ่ะ คือไม่มีความสุขเลย ขี้หมาเพียบ กินข้าวยังได้กลิ่น บางทีกินข้าวไปท่ามกลางกลิ่นขี้หมา เจอหมาขี้เรื้อนที่มีเห็บหมาเดินยั้วเยี้ย กลิ่นหมาขี้เรื้อนตลบอบอวล ฯลฯ ขนาดเป็นวัดที่คนนิยมไปกันด้วยนะ กลับมานี่รู้สึกแย่มากอ่ะ บอกเลย คุณครูบอกว่าฝึกขันติ บอกตามตรงมันไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากฝึกเลย กลับรู้สึกยี้~ ไม่อยากเข้าวัดเลยด้วยซ้ำ สาเหตุที่ไม่อยากเข้าวัด ก็เพราะแบบนี้แหละ นอกจากความน่าเบื่อ ก็คือความไม่สะอาดอ่ะ เดาว่าวัยรุ่นหลายคนก็คงเจอและไม่ชอบเหมือนกัน

ส่วนครั้งแรกที่มาถึงวัดพระธรรมกายหรอ... ก็ไม่เจอขี้หมา,หมาขี้เรื้อน หรือความสกปรกใดๆ เป็นวัดที่สะอาดมาก แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นประทับใจอะไร ออกแนวสงสัยว่า "นี่วัดหรอ" ไหนโบสถ์ ไหนพวกระย้าย้อย ระยิบระยับ บลาๆๆๆ ทำไมเจอแต่ลานกว้างๆ กับคนเยอะๆ งง มาทราบตอนหลังว่าที่ๆไป เขาเรียก "สภาธรรมกายสากล" อธิบายง่ายๆว่าเหมือนศาลาการเปรียญอ่ะ แต่ขนาดใหญ่กว่ามากกกกก ก็พอดีกับจำนวนคนนะ เพราะคนก็เยอะมากกกกกกก....มากจริงๆ ตอนนั้นกลัวหลงมาก เพราะมาคนเดียว เพื่อนในแก๊งค์ไม่ยอมมา แต่แล้วก็อุ่นใจมากขึ้นว่าไม่หลงแน่นอน ไม่ใช่จำทางได้แล้วนะ  แต่เพราะสังเกตเห็นสัญลักษณ์บนเสา ที่เป็นตัวอักษรบ้าง ตัวเลขบ้าง ผลไม้บ้าง พอเดินๆไปเลยพบว่า มันเรียงลำดับจ้า ...โห...เป็นอะไรที่แกรนด์มากเลยนะ เพราะต่างประเทศเขาก็ใช้ระบบจัดการแบบนี้เวลาจัดงานใหญ่ๆ ป้องกันการหลงทาง 

เฮ้ย...ใครคิดเนี่ยะ เจ๋งอ่ะ !!!!!!

พอเจออันนี้ไป เริ่มตาโต หูตั้ง หางกระดิก เอ้ย...ไม่ใช่ๆๆๆ 555
เริ่มตาโตลุกวาว สมองที่ง่วงๆงงๆตอนแรก ตื่นเลยครับพี่น้อง
เกิดความสนใจในวัดนี้ทันที 

มันต้องมีอะไรดีๆกว่านี้แน่นอน

.
.
.

แล้วก็ถึงเวลาเข้ารับฟังข้อมูลครั้งสุดท้าย ก่อนทำหน้าที่จริงในวันรุ่งขึ้น...สมมติว่าอบรมเสร็จแล้ว อิอิ ไวไหมล่ะ เอาเป็นว่า...ขออนุญาตย่นย่อระยะเวลาหน่อยละกันนะคะ^^
.
.
.

มันมีความประทับใจนะ ที่...แม้เราจะมาคนเดียว ไม่มีเพื่อนสนิทมาด้วย แล้วต้องแยกไปนำกิจกรรมรวมกับเพื่อต่างสถาบันอีก แต่บรรยากาศที่นี่... อบอุ่น อย่างบอกไม่ถูก คงเพราะทุกคนมาด้วยเป้าหมายอุดมการณ์ที่จะทำเพื่อส่วนรวมจริงๆ ไม่มีใครมาบ่น หรือหงุดหงิด กับเรื่องความไม่สะดวกสบาย เช่น ต้องมานอนรวมกัน นอนพื้น แอร์ก็ไม่มี ฯลฯ คือมาก็ไม่ได้สบาย แต่ทุกคนกลับมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา และบรรยากาศมันอบอวลด้วยความสุข ความอบอุ่น และสนุกสนานดีนะ

และที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับเราก็คือ...

ระบบการจัดงานของวัดนี้

อย่าลืมนะ...นี่คืนวันที่ 11 นะ ยังไม่ใช่วันงาน  แต่คนก็มาเป็นหมื่นอ่ะ เดาว่ามาเตรียมงาน หรือมาซักซ้อมการทำหน้าที่เหมือนเรา แต่เชื่อไหมว่า... ไม่มีความวุ่นวายเลย ทุกอย่างเป็นระบบ ทุกที่ทางมีความเป็นระเบียบ มันน่าสนใจตรงที่...

ใครเป็นคนคิดระบบเหล่านี้...น่าศึกษาและเอาไปปรับใช้นะ

.
.
.

ความประทับใจอีกอย่างหนึ่งก่อนจะไปนอนคือ... 

"ห้องน้ำ"

สะอาดและแห้งมากกกกกกกกกกกกกก......
คือ...นอนในห้องน้ำยังได้อ่ะ

ทั้งที่มีคนมาใช้เป็นหมื่นนะคะพี่น้อง
มันแตกต่างจากวัดอื่นๆที่เคยไป ซึ่งหลอนมากกกกก
ความรู้สึกแย่ๆ ที่มีต่อวัด ค่อยๆดีขึ้น เหมือนทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ ทัศนคติที่มีต่อวัด ถูกปรับใหม่หมด

ที่น่าทึ่งสุดๆก่อนนอนคืนนั้น คือ ป้ายในห้องน้ำค่ะ

"ให้คนที่มาใช้ห้องน้ำต่อจากเรารู้สึกเป็นคนแรกเสมอ"

คือ...ข้าพเจ้าอ่านหลายรอบมาก อ่านแล้วคิด คิดแล้วอ่านใหม่ กลับไปกลับมา 

เหยยยยยย....คือดีอ่ะ ใครคิดเนี่ยะ.......??

ใครเคยเห็นข้อความนี้บ้าง???? 
ครั้งแรกที่เห็นมีความคิดเห็นหรือความรู้สึกอย่างไรกันบ้างคะ?
มาแชร์กันได้นะคะ^^
ส่วนวันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาต่อค่ะ




วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

ครั้งแรก ความรู้สึกแรก ที่มาวัดพระธรรมกาย ตอนที่ 2

ความเดิมตอนที่แล้วววววววววว.........


ขณะที่กำลังจะลุกจากโต๊ะเรียนจะออกจากห้อง ก็มีกลุ่มผู้ชายตัวเล็กๆเดินเข้ามาแล้วพูดว่า...

   "พี่ขอเวลาน้องๆไม่นานครับ อย่าเพิ่งออกจากห้องนะครับ"

 โหย..สมัยนี้ยังมีผู้ชายพูด "ครับ" อยู่อีกหรอเนี่ยะ พูดเพราะจัง

ทำให้เราและสมาชิกที่เรียนในห้องเดียวกันนั่งฟังพี่เขาต่อ
***************************************************************************
ก่อนอื่น...ต้องขอเท้าความก่อนสักเล็กน้อย จำได้ไหมคะว่า ในตอนที่แล้วได้เล่าให้ฟังว่า ช่วงนั้นมีปัญหาชีวิตแต่ก็ไม่อยากอยู่กับความฟุ้งซ่านแบบนั้นนานๆ เลยพยายามหาทางออกด้วยการมองหากิจกรรมทำ ซึ่งต้องเป็นกิจกรรมที่ "ทำเพื่อคนอื่น" ด้วยนะ ถามว่า...ทำไมต้องตั้งเงื่อนไขกับตัวเองขนาดนั้น ก็เพราะว่าปัญหาชีวิตที่ประสบในตอนนั้น เป็นปัญหาที่ใหญ่และหนักมากๆสำหรับวัยรุ่น ที่เป็นวัยสดใส ไร้เดียงสาอย่างเราๆ (แต่เมื่อเราโตขึ้นก็จะพบว่าแท้จริงแล้วมันเล็กแค่นิดเดียวเอง) ปัญหาที่ว่านั้นก็คือ "ความรัก"

ใช่แล้ว...ตอนนั้นมีแฟนค่ะ คบกันตั้งแต่มัธยม รักกันมาก วางแผนอนาคตไว้ร่วมกันหลังเรียนจบ ทุกอย่างถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ เพื่อนก็ยินดีปรีดา เป็นที่อิจฉาแก่ผู้พบเห็น 555+ ว่าไปนั่น... แต่แล้ว...ชีวิตมนุษย์ อะไรก็ไม่แน่นอนค่ะ เวลาที่ผ่านไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นสองปี สามปี เราก็พบว่า "มันไม่ใช่" อย่างที่เคยคิดไว้ตอนแรก แล้วยังไงต่อดี สับสนเลยสิทีนี้ "จะเดินด้วยกันต่อไปก็ไม่ใช่...แต่จะแยกทางกันเดินมันก็ยังทำใจไม่ได้" นี่แหละที่เขาเรียกว่า "ความผูกพัน" คือทั้งผูก ทั้งพัน จนใจยุ่งเหยิง ไม่มีอิสระ สุดท้ายเลยตกลงกันว่า "ลองห่างกันสักพักเพื่อทบทวนตัวเองแล้วค่อยว่ากันใหม่" อ้ะ! ก็ตกลงกันตามนี้...แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น...เพราะกิเลส...มันลึกลับซับซ้อนยากจะเดาทางออก 

แทนที่จะเป็นเรื่องดี ที่ได้กลับมาอยู่กับตัวเอง มีอิสระ ไปไหนก็ได้คนเดียว ไม่ต้องรายงานใคร ไม่ต้องมีใครมาคอยถามว่าอยู่ไหน   แต่กลายเป็นว่า ชีวิตช่างเศร้ามาก 555 ใครเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ น่าจะพอเข้าใจ แต่พอเราผ่านมันมาได้ก็จะรู้เลยว่า "ไม่มีสาระประโยชน์อันใดต่อชีวิตของเราเลย" 555+

แต่ตอนนั้น...มันยาก กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวัน เลยอยากออกจากภาวะความรู้สึกแบบนั้น จึงต้องหากิจกรรมที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้ ซึ่งมันต้องทำเพื่อคนอื่น เท่านั้น!!! จะได้โฟกัสที่คนอื่น

จะได้ไม่ต้องมามีโมเม้นดราม่า ประมาณว่า เดินไปทางไหนก็เห็นแต่หน้าเธอ ตรงนั้นก็เคยมีเรา อาหารร้านนี้ก็ใช่ บลาๆๆๆๆ

เพราะฉะนั้นเราต้องชนะ! 

ต้องผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้ ! 

เราจะไม่ยอมตกเป็นทาสของความรู้สึกแย่ๆนานๆเด็ดขาด !!!!

วัยรุ่นยุคใหม่ที่เจอสภาวะแบบนี้ สามารถเอาไปใช้ได้นะ "หากิจกรรมที่ทำเพื่อคนอื่น" มาทำ จะได้ผ่านเหตุการณ์แย่ๆได้เร็วๆ และเมื่อเราผ่านมันมาได้ เราก็จะค้นพบวันใหม่ที่สดใสกว่าเดิม เข้มแข็ง และโตขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญ เมื่อเราหันกลับไปมอง ก็จะได้เรียนรู้ว่า "ปัญหาที่ว่าหนัก จริงๆแล้ว มันเล็กนิดเดียวเอง แล้วเดี๋ยวเราก็ผ่านมันไปได้ เหมือนทุกทีที่เราก็ผ่านมา"


"ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเรา เขาคืออาจารย์" 


ที่จะสอนเราว่า บทเรียนนี้ สอนอะไรแก่ชีวิตเรา
และบทฝึกนี้ เราจะใช้วิธีใด จึงจะสอบผ่านไปได้ เพื่ออัพเลเวล ไปเจออีกขั้นต่อไป...

อ้าว... เลยมาซะไกลเลย 55+ 

ต่อกันเลยนะคะ...

หลังจากที่กลุ่มรุ่นพี่ผู้ชายตัวเล็กๆ พูดจาไพเราะ เดินเข้ามาในห้องเรียน แล้วก็บอกให้ทุกคนอย่าเพิ่งออกจากห้อง ก็ปรากฎว่าพี่เขาเปิด Video ให้ทุกคนในห้องดู 1 ตัว แค่ซาวน์ดนตรีขึ้นมาก็ตื่นเต้นแล้ว....

เฮ้ยยยยยย!!!!!!!! งานอะไรอ่ะ ทำไมเด็กเยอะจัง!!!!!!!! (ณ ตอนนั้น อึ้งทึ่งมากจริงๆนะ)

หลังจากดู Video จนจบ รู้สึก "ตื่นเต้นมาก ขนลุก บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าอยากไปงานนี้จังเลย"

พี่ๆเขาก็เฉลยว่านี่คืองาน

"รวมพลังเด็กดี V-Star" จัดขึ้นที่วัดพระธรรมกาย

เอ๊ะ!!!! ธรรมกาย คุ้นๆนะ เคยได้ยินที่ไหนน้าาา...

...อ๋อ... ตอนประถมที่บ้านเคยเล่าให้ฟังว่าวัดนี้ลงข่าวหน้าหนึ่งทุกวันเลย...

เอาเหอะ !!!! ธรรมกาย ก็ ธรรมกาย งานใหญ่ๆ แบบนี้จะต้องไปให้ได้
จะได้รู้ว่าเด็กๆเขามาทำอะไรกันเยอะแยะขนาดนี้ 
แล้วงานใหญๆ ดูแกรนด์ๆ แบบนี้ มีจริงๆหรอในประเทศไทย ไม่เคยเห็นลงข่าวเลย

อย่างงี้ต้องพิสูจน์ !!!!!!

โดยมีเงื่อนไขจากพี่ๆกลุ่มผู้ชายตัวเล็กๆ พูดเพราะๆ กลุ่มนั้นว่า...

"ถ้าน้องคนไหนสนใจอยากจะเป็นบุคคลประวัติศาสตร์ ที่ร่วมกันสร้างเยาวชนคนดีให้แก่ประเทศชาติ 
แบบในวีดีโอที่เปิดให้ดูไปแล้ว น้องๆจะต้องลงชื่อเป็นอาสาสมัครผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลก หรือ...วีเชียร์ ครับ"

พอได้ใบสมัครปุ๊บ ข้าพเจ้ากรอกข้อมูลทันทีเลยจ้า 555+ คืออยากไปมากแบบออกอาการสุดๆ อิอิ


เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ ชื่อโครงการนี้มัน....

"V-Cheer"

อ้าว...นี่มันที่เราเห็นตรงป้ายตะลัยนี่นา 
โหยยยยย....พระมาโปรดลูกแล้ว อะไรมันจะลงล็อกเป๊ะๆขนาดนั้น ฮิ้วๆๆๆ 555+

จากนั้นก็มีอีกหลายๆคนในห้องลงชื่อสมัครเหมือนๆกันกับเรา แล้วพี่เขาก็จากไป โดยทิ้งท้ายก่อนจากไว้ว่า

"น้องที่จะเป็น V-Cheer ได้ ต้องไปเจอกันที่ชมรมนะครับ โดยจะต้องไปฝึกซ้อมทุกวัน จนกว่าจะถึง
วันที่ 11 ธันวาคม วันนั้นเราจะเดินทางไปพักค้างกัน เพื่อทำกิจกรรมในวันรุ่งขี้น คือวันงาน 12 ธันวาคม ครับ"

โห...นึกถึงบรรยากาศตอนเป็นเชียร์ลีดเดอร์สมัยมัธยมเลย ต้องฝึกซ้อมทุกวันแบบนี้แหละ ดึกๆดื่นๆ

แล้วตกลงกิจกรรมนี้เอาเราไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ใช่ป่ะ หรือว่าอะไร?
อยากรู้...โปรดติดตามตอนต่อไป...




วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

ครั้งแรก ความรู้สึกแรก ที่มาวัดพระธรรมกาย ตอนที่ 1

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2552 เป็นครั้งแรกที่ได้มารู้จักกับวัดพระธรรมกาย ภายใต้กิจกรรมอาสาสมัครที่ชื่อว่า...

"V-Cheer : อาสาสมัครผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลก"

ตอนนั้นยังเป็นนิสิตปี 2 ก็ไม่ได้เป็นคนธรรมะธรรมโมอะไร ออกจะเล่นๆ ชิวๆ เฮฮา ลั้ลลา เหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป ใครพูดเรื่องวัด เรื่องพระพุทธศาสนา ก็ อืม...ดีนะ แต่ให้ไปนั่งฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่เอาดีกว่า เพราะรู้สึกมันน่าเบื่อ ไปทีไรก็นั่งหลับทุกที

วันนั้นก็ไปเดินเล่นตลาดนัดในมอกับเดอะแก๊งค์ แล้วก็แยกย้ายกันเพราะเพื่อนๆมีเรียนแค่ตอนเช้า 
มีแค่ฉันคนเดียวที่ต้องนั่งตะลัยเข้ามอไปเรียนต่อภาคบ่าย อารมณ์แบบกำลังเซ็ง เหมือนโดนทิ้งว่างั้น... ช่วงนั้นก็มีปัญหาชีวิตพอดี พอต้องอยู่คนเดียวก็ฟุ้งซ่านเลยสิ ก็พยายามหาวิธีหลุดจากอาการ ความรู้สึก และอารมณ์แบบนี้นะ ระหว่างเดินจากตลาดไปรอรถตะลัย เดินไปคิดไป ก็เลยคิดออกว่า................
วิธีที่ดีที่สุดที่จะหลุดจากอาการนี้ได้คือต้อง

"หากิจกรรมทำ" ซึ่งกิจกรรมที่ว่านั้นต้อง "ทำเพื่อคนอื่น" ด้วย

แต่ก็ยังนึกไม่ออกหรอกว่าจะทำอะไร อย่างไร ก็นั่งรอรถตะลัยตะลัยต่อไป.. 
ระหว่างที่กวาดสายตาหาตะลัยอยู่นั่นเอง

อั้ยย่ะ!!!!!!!!! V-Cheer !!!!!!!!!!!!!!!

หรือนี่จะเป็นสิ่งที่ตามหามานานแสนนาน กิจกรรมที่จะช่วยให้ข้าพเจ้ากลับมาสดชื่น สดใสได้อีกครั้ง 555

ครั้งแรกที่เห็นคำว่า V-Cheer บนป้ายคัตเอ๊าท์ประชาสัมพันธ์ในมหา'ลัย 
เข้าใจว่าเกี่ยวกับเชียร์ลีดเดอร์ เลยตื่นตาตื่นใจเอามากๆ

พออ่านๆไป เอ๊ะ! ไปนำสันทนาการน้องๆเด็กดีวีสตาร์ ที่ทำความดีอย่างต่อเนื่องนานกว่า 3 เดือน 
อ้าว... ไม่ใช่ประกวดเชียร์ลีดเดอร์หรอคะ?? แต่ก็ลองอ่านต่อไปเรื่อยๆจนมาสะดุดประโยคท้ายที่ว่า...

"การปลูกฝังศีลธรรมเราเริ่มที่เด็กได้" 

เออ!มันใช่อ่ะ เข้ากับสำนวนที่ว่า "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก" 

เลยรีบหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ตามป้ายประชาสัมพันธ์ 
ระหว่างรอสัญญาณก็มีเสียงผู้หญิงรับสาย เย้.....ตื่นเต้นๆๆๆๆๆๆ

"หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ บลาๆๆๆๆ"

   แป่ววววววว!!!!!! ความหวังของฉัน.....จบสิ้นกันแล้วทีนี้ TT

แล้วก็ถึงเวลาเรียนหนังสือวิชาภาคบ่ายแล้วด้วย 
ก็เลยต้องรีบหยุดความคิดไว้ ณ ตรงนั้น เพื่อมีสมาธิให้กับการเรียน (ดูดีจริงเอย อิอิ)
.
.
.
.

              และแล้ว.....คาบเรียนนี้ก็จบลง เย้....555

ขณะที่กำลังจะลุกจากโต๊ะเรียนจะออกจากห้อง ก็มีกลุ่มผู้ชายตัวเล็กๆเดินเข้ามาแล้วพูดว่า...

"พี่ขอเวลาน้องๆไม่นานครับ อย่าเพิ่งออกจากห้องนะครับ"

 โหย..สมัยนี้ยังมีผู้ชายพูด "ครับ" อยู่อีกหรอเนี่ยะ พูดเพราะจัง

ทำให้เราและสมาชิกที่เรียนในห้องเดียวกันนั่งฟังพี่เขาต่อ 

      *******ส่วนว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป*******

พี่เขาเข้ามาในห้องเรียนทำไม แล้วฉันจะได้พบกับอะไรอีกนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป...